ระดับความน่าสนใจ : A-

เบื้องหลังการสร้าง The Room หนังคัลท์ก้องโลกของ Tommy Wiseau

ชื่อของหนัง “The Room” อาจจะไม่ได้อยู่ในประเภทหนังฟอร์มยักษ์หรือหนังคุณภาพรางวัลออสการ์ แต่มันกลับอยู่ในทางตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เพราะผลงานของ Tommy Wiseau ทีทั้งควบตำแหน่งผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ เขียนบท คัดเลือกนักแสดงและควักเงินออกทุนสร้างเองทั้งหมดเรื่องนี้ที่ออกฉายในปี 2003 และได้ชื่นว่าเป็นหนังที่ห่วยที่สุดเรื่องหนึ่งตลอดกาล แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป “The Room” ก็กลับกลายมาเป็นหนังคัลท์ที่ผู้คนให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆและกลายเป็นโปรแกรมฉายรอบมิดไนท์ที่ตั๋วล้วนขายหมดเกลี้ยงในอเมริกา ที่ยังคงถูกหยิบมาพูดถึงบ่อยๆจนถึงทุกวันนี้

“The Disaster Artist” เป็นหนังที่สร้างมาจากหนังสือชื่อเดียวกันที่เขียนโดย Greg Sestero (นักแสดงผู้รับบท Mark หนึ่งในตัวละครหลักใน The Room) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังกว่าจะมาเป็นหนังเรื่อง The Room โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเวลาที่นักแสดงหนุ่มมือใหม่ที่ฝันว่าจะเข้าวงการแสดงและเป็นดาราดัง Greg Sestero ได้รู้จักกับ Tommy Wiseau ชายท่าทางแปลกประหลาดที่มาพร้อมสำเนียงการพูดที่แปลกไม่แพ้บุคลิกของเขา ทั้งคู่แทบไม่มีอะไรเหมือนกัน นอกจากความฝันในการจะเป็นดาวดังในวงการภาพยนตร์ให้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อยังหาหนทางในการเป็นนักแสดงไม่ได้ Tommy จึงผุดไอเดียที่ว่า “ทำไมเราไม่สร้างหนังของตัวเองขึ้นมาแทนล่ะ?”

ความคิดของ Tommy จึงนำไปสู่การสร้างหนังที่มีชื่อว่า The Room ที่จะกลายมาเป็นดั่งมาสเตอร์พีซของหนังกากที่ดังไปทั่วโลก!

แม้แรกเริ่มจะคาดเดาว่า “The Disaster Artist” คงจะเป็นการนำเสนอชีวประวัติและเบื้องหลังการสร้างหนังที่เน้นความตลกโปกฮา แต่เอาเข้าจริงๆนี่เป็นหนังที่สะท้อนแง่มุมของมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่มีความฝันเดียวกันได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงการทุ่มเท ตั้งใจและกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบแบบสุดโต่ง ผ่านตัวละคร Tommy แม้คนรอบตัวจะมองว่าเขาช่างไร้ประสบการณ์และคงล้มเหลวกับการนำเงินมาละลายเพื่อสร้างหนังที่อาจไม่มีคนดูเลย (ตามข้อมูลระบุว่า Tommy ใช้เงินสร้างหนัง The Room ไปสูงถึง $6 ล้าน ซึ่งหมดไปกับหนังที่ถ่ายที่มีฉากแค่ในอพาร์ทเม้นท์และด่านฟ้าตึก!)

หนังถ่ายทอดตัวละคร Tommy ได้ชัดเจนมากกับการเป็นคนที่โคตรลึกลับ แปลกประหลาก (หรือเรียกว่าเอกลักษณ์?) และกล้าที่จะคิดและทำอะไรแบบสุดโต่ง ซึ่งต้องชมการแสดงของ James Franco แสดงได้ชวนเชื่อมากๆ (หลังหนังจบมีการนำฉากจาก The Room มาเทียบกับฉากในหนังเรื่องนี้ ซึ่งเรียกว่าเป๊ะเวอร์) เราจะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ Tommy ได้รับกับการถูกตราหน้าจากคนในวงการ ปัญหาในกองถ่ายและปัญหาระหว่างเพื่อนสนิท จนเราต้องเชียร์ให้เขาทำหนังสำเร็จให้ได้ แม้จะรู้ว่ามันคงออกมาห่วยก็ตามที

“The Disaster Artist” ยังเป็นการรวมทีมนักแสดงดัง เพราะหนังยังมี Dave Franco, สาวสวย Alison Brie, Seth Rogen, Josh Hutcherson และ Zac Efron มาร่วมรับบทตัวละครสำคัญๆ และยิ่งไปกว่านั้นคือหนังมีฉาก End Credit แถมท้ายพร้อมนักแสดงรับเชิญเจ้าของเรื่องราวทั้งหมด

โดยสรุป “The Disaster Artist” เป็นหนังคอมเมดี้ ดราม่า ชีวประวัติของคนสร้างหนังที่มีมุมมองแตกต่างกับคนทั่วไป มันพูดถึงคนที่ไปได้สุดทางกับความคิดของตัวเองจริงๆ มีคำพูดหนึ่งของ Tommy ที่ว่า “คุณไม่ใช่แค่อยากจะทำได้ดี แต่คุณอยากจะทำได้ยอดเยี่ยม” ซึ่งนั่นน่าจะสะท้อนแรงผลักดันในตัวของผู้ชายชื่อ Tommy Wiseau ได้ดีในการตั้งใจทำสิ่งที่ตัวเองหลงใหลและมันก็อาจมอบแรงบันดาลใจให้คุณได้เช่นกัน