ระดับความน่าสนใจ : B+

อัศวินปืนไว จอมทมิฬ และ นิมิตหายนะ

[บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของภาพยนตร์]

 “The Dark Tower” คือผลงานชิ้นล่าสุดที่หยิบเอาหนึ่งในนิยายขายดีที่สุดของ Stephen King มาขึ้นจอ แถมยังถูกตั้งความหวังจากแฟนๆไว้สูงมาก ซึ่งหลังใช้เวลาในการเดินเครื่องโปรเจคนี้มานานนับ 10 ปี บัดนี้มันก็ได้สำเร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อย ภายใต้การกำกับของ Nikolaj Arcel และมี King มาช่วยอำนวยการสร้าง ร่วมกับ Ron Howard (ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน Howard เคยถูกวางตัวในฐานะผู้กำกับ) พร้อมได้ 2 นักแสดงดังฝีมือเยี่ยม Matthew McConaughey มารับบทชายชุดดำ หรือ จอมทมิฬผู้ชั่วร้ายและ Idris Elba ในบทอัศวินปืนไว ผู้ยืดหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องหอคอยที่เชื่อมจักรวาลทั้งหมดไว้

เรื่องราวของ Jake เด็กชายที่ฝันประหลาดถึงดินแดนที่เขาไม่รู้จัก เขาฝันเห็น จอมทมิฬ ที่มีเป้าหมายในการทำลายหอคอยสูงเฉียดฟ้า พร้อมกับอัศวินปืนไวที่อุทิศชีวิตเออกตามหาจอมทมิฬเพื่อแก้แค้น เขาถูกเพื่อนๆมองว่าเป็นคนแปลกประหลาด กระทั่ง Jake ได้พบว่าสิ่งที่เขาฝันนั้นเป็นเรื่องจริงและมันนำเข้าไปสู่การเดินทางข้ามมิติไปสู่โลกอันแสนลึกลับที่เขาต้องเดินทางกับ Roland อัศวินคนสุดท้ายเพื่อพิทักษ์โลกของทั้งคู่เอาไว้ ก่อนที่มันจะดับสูญ

การมาพร้อมความยาวเพียง 1 ชั่วโมง 35 นาทีจากต้นฉบับที่เป็นนิยายเล่มหนาหลายเล่ม ทำให้หนังต้องอาศัยการเดินหน้าที่รวดเร็วอยู่ตลอด ซึ่งก็ถือว่าหนังทำได้น่าติดตามในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะมีไฮไลท์ที่ดีที่สุดในช่วงท้ายกับฉากแอคชั่นของตัวละคร Roland ในลีลายิงปืนบุกรังตัวร้ายที่ขายสไตล์ความเท่ จนชวนให้คิดไปถึงฉาก Wesley บุกไปถล่มรังมือปืนใน ‘Wanted’ (2008) ขึ้นมาอยู่หน่อยๆ แต่เปลี่ยนจากอารมณ์กวนๆ มาเป็นการโชว์ความเท่ของท่ารีโหลดกระสุนของตัวละครเอกที่เวอร์วังชวนให้อึ้ง

นอกจากฉากแอคชั่นช่วงท้ายที่ทำออกมาได้ดีและการออกแบบโปรดักชั่นต่างๆในฉากโลกต่างมิติ (Mid-World) ที่ได้อารมณ์วังเวงชวนให้รู้สึกไม่ปลอดภัย ด้านนักแสดงก็มีส่วนทำให้หนังดูน่าติดตามมากขึ้น ยิ่งกับ Matthew McConaughey ในบทจอมมารที่มาดดูเหี้ยมแบบนิ่งๆ เหมาะสมกับบทบาทและดูน่ากลัวในความสามารถที่ฆ่าคนตายได้ง่ายๆเพียงแค่สะบัดนิ้วเบาๆ ส่วน Idris Elba อาจไม่ได้แสดงอะไรเยอะ แต่มาดพี่แกในฉากแอคชั่นนี่คือดูดีเลย Tom Taylor ที่เล่นหนังฟอร์มใหญ่เรื่องแรกก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดี แม้ในตอนแรกๆจะรู้สึกว่าน้องแกดูแข็งๆงงๆกับบทไปหน่อยก็ตามที หนังยังมี Katheryn Winnick (นักรบสาวจอมโหดจากซีรี่ส์ Vikings) และ Claudia Kim (หมอสาวสวยจาก Avengers: Age of Ultron) มาร่วมแสดงด้วย ซึ่งรายของสาว Kim นี่ การเป็นหมวยหนึ่งเดียวในเรื่อง ทำให้พอนางโผล่มาฉากแรกเลยรู้สึกว่านางเด่นเหลือเกิน

อีกรายที่น่าสนใจคือ Nicholas Hamilton ที่แสดงในเรื่องนี้และในปีนี้ก็ยังแสดงใน ‘It’ (2017) ซึ่งทั้ง 2 เรื่อง ล้วนสร้างจากนิยายดังของ Stephen King ทั้งคู่ และถ้าสังเกตในหนังดีๆเราจะเจอ Easter Egg จากนิยายเรื่องอื่นๆของ King โผล่มาในหนังเรื่องนี้ด้วย ทั้งสวนสนุกร้างที่ใช้ชื่อว่า Pennywise หรือ ภาพในห้องทำงานของนักจิตวิทยาที่มีภาพโรงแรมจาก ‘The Shining’  เป็นต้น

ถึงอย่างนั้นการที่หนังเดินเรื่องเร็วก็มาพร้อมข้อเสียเช่นกัน หลักๆคือการตัดสินใจของตัวละครที่อาจเพราะทีมงานไม่อยากให้หนังมันยาวเกิน จึงตอนทอนบางส่วนออก ผลที่ออกมาก็คือการรู้สึกแปลกๆในการตัดสินใจของพวกเขา หนังนำเสนอให้เห็นว่าจอมทมิฬจับเด็กไปสูบเอาพลังเพื่อโจมตีหอคอย แปลว่าต้องมีเด็กๆบริสุทธิ์ถูกจับตัวไปไม่น้อยแน่ๆ แต่สิ่งที่เราเห็นบนจอคือ Jake สั่งทำลายหอคอย ชนิดไม่มีหยุดคิดสักนิดเลยว่าจะมีเด็กคนอื่นๆถูกจับไปอยู่ที่นั้นหรือเปล่า? มันจึงเหมือนการแก้แค้นของชาย 2 คนที่ทำทุกอย่างลงไปเพราะเรื่องส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้เพื่อช่วยโลกหรือผู้คนใดๆเลย หรือ ฉากการไปโรงพยาบาลของ Roland ที่ดูเป็นฉากที่ไม่จำเป็นในหนังเลย

โดยสรุป  “The Dark Tower” ถือเป็นหนังจากนิยาย Stephen King ที่สร้างความบันเทิงได้ในระดับหนึ่ง มันมีงานโปรดักชั่นที่ดีและฉากแอคชั่นที่ดูสนุก แต่ก็มีสะดุดในแง่ของการดำเนินเรื่องและมิติตัวละคร ซึ่งก็มีข่าวว่าทีมงานวางแผนสร้างภาคต่อให้หนังไว้แล้ว งานนี้แฟนๆก็คงต้องมาลุ้นกันในแง่รายได้ว่าหนังจะโกยรายได้ในตลาดโลกไปมากพอที่จะทำให้สตูดิโอยิ้มออกหรือไม่

 

The Dark Tower (ตัวอย่างที่ 2 Official Trailer) ซับไทย

The Dark Tower – Easter Egg

ขอบคุณคลิปจาก YouTube Sony Pictures Thailand
ขอบคุณคลิปจาก Sony Pictures Entertainment